รมว.อว.-นายกสมาคมพันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัยกับสังคม-บพท.ประสานพลังหนุนคณาจารย์มหาวิทยาลัยเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ชุมชนในพื้นที่ ขับเคลื่อนงานวิจัยพัฒนาประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ
ศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) กล่าวแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง “มหาวิทยาลัยกับการขับเคลื่อนภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ในการประชุมวิชาการระดับชาติ Engagement Thailand Annual Conference 2022 ที่โรงแรมเรือรัษฏา จังหวัดตรัง โดยให้การสนับสนุนเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยกับสังคมหมายความว่ามหาวิทยาลัยต้องไม่ใช่มุ่งการสอนอย่างเดียว แต่ต้องมีปฏิสัมพันธ์ หรือ engagement กับสังคมด้วย
“ผมคิดว่าการ engage การมีส่วนร่วม การมีส่วนผูกพัน การมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการมีพันธกิจ แปลความหมายได้หลาย ๆ อย่าง เป็นการ engage เชิงพื้นที่ เชิงท้องที่ เชิงท้องถิ่น เชิงสังคม เชิงชุมชน หรือจะเป็นการ engage ตั้งแต่ชุมชน ตำบล หมู่บ้านก็ engage ได้ แล้ว engage กับเมือง กับมหานครก็ได้ เช่น มทร.หลายแห่งก็อาจจะ engage กับตัวจังหวัด ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย หรือจะengage เป็นภาคก็ได้ครับ หรือ engage กับประเทศก็ได้ รวมทั้งการ engage กับองค์กรธุรกิจเอกชนก็ได้ ”
รมว.อว.กล่าวย้ำว่า engage มีประโยชน์มาก อยากจะให้เกิดวิจัยแบบไปห้างหรือไปสู่ชุมชน หรือไปสู่ธุรกิจเราก็พยายามทำ แต่ว่าทำโดยมี engage ของธุรกิจเอง มี engage กับวิสาหกิจ มี engage กับชุมชน มีพลังมากกว่าเยอะ และเราต้องไม่เก็บตัวอยู่กันในหอคอยงาช้างอีกต่อไป แต่ต้องพร้อมที่จะออกจากหอคอยงาช้างไปช่วยคนอื่น ไปเรียนรู้จากวิกฤติ ไปเรียนรู้จากปัญหา แล้วก็เอาประสบการณ์กลับเข้ามายังมหาวิทยาลัย สร้างขึ้นมาเป็นความรู้ที่มันสูงกว่าเดิมอีก
“ช่วงวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา อว.เข้าไปมีบทบาทวิจัยและพัฒนาหน้ากากอนามัยป้องกันโควิด-19 ห้องตรวจความดันลบ หรือแม้กระทั่งวัคซีน และขณะนี้ก็ร่วมกับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่วิจัยพัฒนาเนื้อทางเลือก ที่สร้างจากพืช ตลอดจนแบตเตอรี่สำหรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า และเวชภัณฑ์ด้านอายุวัฒนะ รวมทั้งการทำสมาร์ทฟาร์มมิ่ง”
ทางด้านศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน นายกสมาคมพันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัยกับสังคม บรรยายพิเศษในหัวข้อเรื่อง “บทบาทของสมาคมพันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัยกับสังคมกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยได้กล่าวถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีกับแนวทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยในการพัฒนาประเทศว่าโจทย์ใหญ่ที่สุดคือกระบวนการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยให้ตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ ในการสร้างคน สร้างความรู้ และสร้างนวัตกรรม ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งต้องเพิ่มขีดความารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อสร้างความยั่งยืนของการพัฒนาประเทศ
“มหาวิทยาลัยในประเทศที่พัฒนาแล้วในประชาคมโลกในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้พัฒนาวิธีคิด วิธีการร่วมคิด ร่วมทำระหว่างมหาวิทยาลัยกับหน่วยงานภายนอกทั้งของรัฐของเอกชน ของชุมชน ของท้องถิ่น ในลักษณะที่มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ซึ่งจำเป็นต้องสร้างกระบวนการคิดร่วมกัน ทำร่วมกัน ใช้ประโยชน์ร่วมกัน และให้ได้ผลลัพธ์ ผลกระทบที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งสมาคมพันธกิจสัมพันธ์มหาวิทยาลัยกับสังคม ได้นำมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเข้าร่วมในการกระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2562 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน “
โอกาสเดียวกันนี้ ดร.กิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุน ด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)บรรยายพิเศษในหัวข้อ “ความสำเร็จของบพท.ในการบรรลุเป้าหมาย SDGs” โดยกล่าวว่านับ เป็นความสำเร็จของงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนโดยมีบพท.เป็นกลไกสำคัญ ซึ่งในตอนนี้บพท.ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชุมชนพื้นที่ผ่านการจัดการ หน่วยบริหารสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ใช้ทุนวิจัยและการจัดการเป็นเครื่องมือไม่ใช่หน่วยให้ทุน ไม่ใช่ให้ทุนแล้ว จบลงแค่การตรวรับรายงานการวิจัย แต่เราจะวัดกันที่รูปธรรมการเปลี่ยนแปลงในผลลัพธ์สุดท้าย เพราะฉะนั้นทุกมหาวิทยาลัยต้องปรับตัว ทุกคณะผู้วิจัยก็ต้องมีการปรับตัว จะทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายสำคัญคือการกระจายความเจริญและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจสังคมท้องถิ่นด้วยความรู้และนวัตกรรม ซึ่งจะมีด้วยกัน 3-4 เรื่อง
ประการแรกต้องมองที่เชิงยุทธศาสตร์ให้เป็น เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมากสำหรับนักบริหารจัดการ ตอนนี้ผู้บริหารงานวิจัยเป็นกลไกสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ ผู้จัดการโครงการวิจัยธรรมดา เป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงโดยใช้สถาบันวิจัย ใช้งานวิจัยบริการจัดการ หรือการพัฒนามหาวิทยาลัยเป็นเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เวลามองต้องมองในเชิงยุทธศาสตร์
ประการที่สองต้องออกแบบเชิงกลยุทธ์ ซึ่งการออกแบบเชิงโปรเจคไม่พอแล้ว ตอนนี้คิดว่า กลยุทธการขับเคลื่อน ที่น่าสนใจ ณ ตอนนี้โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยขนาดเล็ก ขนาดกลาง ถือว่ามีผลกระทบสูงมาก คืออาจารย์ไม่มีเด็กมาให้สอน เพราะเด็กเรามีน้อยจากการที่อัตราการเกิดน้อยลง เป็นเรื่องของโครงสร้างผู้สูงอายุที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา
“ผมอยากเสนอให้มหาวิทยาลัยทำวิจัยผ่านมืออาชีพ ถามว่านักวิจัยมืออาชีพหมายความว่าอย่างไร ซึ่งโดยหน้าที่หลักของอาจารย์คือสอนเด็กในการสร้างคน เปลี่ยนเป็นการใช้งานวิชาการสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถทำได้หมด แต่ต้องปรับโครงสร้าง ผมคิดว่ามันเป็นทางรอด”
ประการที่สามคือออกแบบงานเชิงระบบ โดยจะเน้นไปที่เรื่องของผลลัพธ์คือการสร้างโอกาสและการสร้างผลกระทบที่จะตามมา เพราะฉะนั้นการออกแบบ ต้องให้ความใส่ใจอย่างมากกับการวิเคราะห์ภาคีการมีส่วนร่วมอย่างละเอียด ซึ่งหากทำได้ละเอียดจะทำให้เรากระแทกปัญหาได้ถูกจุด เพราะไม่เช่นนั้นสามัญสำนึกในความเป็นเจ้าของ มันก็ไม่เกิด เขาก็จะทำแบบของเขา เราก็ทำแบบของเรา
ประการที่สี่คือ ทำด้วยกลไกความร่วมมือผ่านการเรียนรู้ และประการสุดท้ายคือ เปลี่ยนแปลงจนถึงระบบคิดและพฤติกรรม เป็นระบบคิดการใช้ข้อมูล ระบบคิดการใช้ความรู้ในการทำแผน ระบบคิดในการใช้นวัตกรรมทำให้เกิดเป็นธุรกิจ
ดร.กิตติ ยังได้กล่าวถึงกระบวนการทำกลยุทธการขับเคลื่อน ในส่วนของบพท.กรณีของคนและครัวเรือนยากจน โดยระบุว่ามีข้อมูลที่ชี้ชัดว่ามีคนตกหล่นที่เป็นครัวเรือนยากจนซ้ำซากซ้ำซ้อน ซึ่งนอกจากจะไม่หมดไปจากประเทศไทยแล้วยังมีโอกาสขยายตัว เพราะพิษเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่าการวิจัยนวัตกรรมมันไม่ใช่แค่ทำงาน ไม่แค่ทำตัวความรู้ แต่ต้องใช้ความรู้เข้าไปแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ส่วนที่สองเศรษฐกิจฐานรากและลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเศรษฐกิจฐานรากที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เกิดจากพืชและสัตว์เศรษฐกิจแล้วเกิดจากกลุ่มอาชีพ แต่สมาร์ทฟาร์มเมอร์ไม่ได้อยู่ในแผน บพท.ก็จะโฟกัสไปที่กลุ่มอาชีพ เราเรียกว่า Local enterprise ซึ่งจะประกอบด้วยกลุ่มวิสาหกิจชุมชน, Local SME และโอทอป นี่คือกลุ่มจัดตั้ง แต่ที่ไม่ใช่กลุ่มจัดตั้งก็เยอะมาก เพราะ Local enterprise เป็นกลุ่มอาชีพ เป็น Local business unit ที่มีโครงสร้างกระจายรายได้ ตั้งมาแล้วใช้ Local content กัน แต่เวลาทำเป็นกลไก ทำที่กลุ่ม เพราะฉะนั้นเราจึงมีนวัตกรรมใหม่เช่น “วัคซีนการเงิน” ทำให้เขารู้สภาพคล่องทางการเงินของกลุ่ม สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์กลยุทธ์ทางด้านการเงินทำให้กลุ่มอยู่รอดในสภาวะวิกฤติ ซึ่งเปิดไปมีคนสนใจตอนนี้ปตท.มาร่วมมือกับเรา มีเงินอุดหนุนให้เรา
ส่วนสุดท้ายคือชุมชน โดยชุมชนที่เป็นท้องถิ่น ตำบล อำเภอ ชุมชนพวกนี้ก็คือการใส่นวัตกรรมพร้อมใช้แล้วทำให้เขาเกิดการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีด้วยตนเอง เราเรียกแบบนี้ว่านวัตกรชุมชน ซึ่งตอนนี้เราทำกว่า 5 พันคนทั่วประเทศ ใน 500 กว่าตำบล ซึ่งจะสามารถนำความรู้นวัตกรรมไปขยายผลได้
ประการต่อมา การกระจายศูนย์กลางความเจริญและเมืองน่าอยู่ (Macro level) ตอนนี้เรามีกลไกพัฒนาเมืองน่าอยู่ในรูปของวิสาหกิจพัฒนาเมืองอยู่ 19 เมือง ในการพัฒนาเมืองน่าอยู่ก็นำไปสู่การสร้าง urban development , urban design ,urban solution ในการรับมือเช่น เมืองแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเมืองแห่งการเรียนรู้จะสามารถพัฒนาและสร้างอาชีพให้คนตกงานได้ เช่นในจ.พะเยาสามารถร่วมกับเทศมนตรีของเมืองพะเยา ทำให้เกิดแพลตฟอร์มเมืองแห่งการเรียนรู้แล้วซัพพอร์ต Local wisdom คือนำปราชญ์ชาวบ้าน ความรู้ของชาวบ้าน ของมหาวิทยาลัยมาผสมผสานกันแล้วทำหลักสูตรฝึกทักษะอาชีพ ให้กับคนตกงาน ตอนนี้ช่วยเหลือไปแล้วได้กว่า 2 หมื่นคน
ส่วนที่สอง Local Smart government ซึ่ง smart government ต่อไป 10 -20 ปี ขีดความสามารถของผู้นำท้องที่จะทำให้พื้นที่ที่บริบทคล้าย ๆ กันเจริญหรือไม่เจริญ อีก 20 ปีข้างหน้าเป็นการพูดถึง Local Smart government ถ้าเราไม่สามารถพัฒนาแบบนี้ได้ กลไกในการ build up ชุมชนจะไม่เกิดเพราะชุมชนจะมีขีดจำกัดเช่นเรื่องงบประมาณ ฯลฯ
สุดท้ายคือเรื่องของพื้นที่เฉพาะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมอบหมายให้ไปดูพื้นที่เขตเศรษฐกิจชายแดน ซึ่งเป็นการตีความที่ถือว่าปราดเปรื่องมาก ก็คือตีความว่าพื้นที่เศรษฐกิจข้างบ้านเราเป็นพื้นที่เศรษฐกิจร่วม อย่าคิดว่าเฉพาะของประเทศไทยหรือเฉพาะเพื่อนบ้าน เพราะมันได้ประโยชน์ร่วมกัน
“ตัวนี้คือความสำเร็จในเชิง out put ที่เกิดมาจากเครือข่ายของมหาวิทยาลัย ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเราไม่ได้มองมหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัย เรามองมหาวิทยาลัยเป็นโครงสร้างการสร้างข้อมูลความรู้เพื่อการพัฒนาพื้นที่ ตอนนี้เรากำลังผลักดันให้เครือข่ายมหาวิทยาลัยทำแพลตฟอร์มให้ทุกคนมาร่วมมือกัน เช่นเป้าหมายขจัดความยากจนของรัฐบาล เพราะความร่วมมือแบบนี้ทำโดยมหาวิทยาลัย โดยพวกเรา หรือนักวิชาการส่วนเดียวทำไม่ได้ ต้องชวนคนอื่นมาทำด้วย”