![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2022/12/LINE_ALBUM_CLIV_๒๒๑๒๒๒_1-1024x681.jpg)
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ ศูนย์อาเซียนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดงานเสวนาและนำเสนอผลการศึกษาโครงการวิจัย “นโยบายและกลไกการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาศัยการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.): กรณีศึกษาประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา และ สปป.ลาว” โดย ดร.กาญจนา วานิชกร รองผู้อำนวยการ สอวช. ได้กล่าวปาฐกถานำ ในหัวข้อ “การส่งเสริมกิจการ อววน. เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน” และมีการนำเสนอผลการศึกษาโครงการวิจัย โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการ ศูนย์อาเซียนศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รองศาสตราจารย์ ดร. พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2022/12/LINE_ALBUM_CLIV_๒๒๑๒๒๒_7-1-1024x681.jpg)
ดร.กาญจนา กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาคด้าน อววน. โดยแบ่งเป็น 4 ประเด็นสำคัญ คือ 1) กลไกความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีการทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน เป็นสาขาแรก ๆ ที่หลายประเทศเห็นตรงกันว่าต้องให้ความสำคัญ แต่ปัจจุบันได้มีเรื่องนวัตกรรมที่ทุกประเทศให้ความสนใจเพิ่มเข้ามา ซึ่งในแง่นโยบายจะเข้าไปช่วยเสริมหรือเป็นแพลตฟอร์มกลาง สร้างให้เกิดความเข้มแข็งทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคได้ 2) ในระดับภูมิภาค มีโจทย์ ความสนใจ และความท้าทายร่วมกัน ซึ่งหลายอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยประเทศเดียว เช่น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดการขยะพลาสติก การดำเนินตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน จึงต้องอาศัยการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศ 3) การนำเอาทรัพยากรที่มีมาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปรับบทบาทจากการเป็นประเทศผู้รับ (Recipient Country) เป็นประเทศผู้ให้ (Donor Country) การสร้างแพลตฟอร์มที่เป็นกลางเพื่อทำงานในประเด็นที่ประเทศในภูมิภาคนี้มีความสนใจร่วมกันนั้น จะเอื้อต่อการระดมทรัพยากรจากองค์กรต่าง ๆ จึงต้องเริ่มจากการมองหาโจทย์ และทำความเข้าใจทั้งประเทศของเราเองและประเทศที่จะมีความร่วมมือในอนาคต 4) การเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ที่จะเป็นโอกาสทางการตลาด หากมีความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการลงทุนร่วมกัน เกิดการยกระดับผู้ประกอบการ หรือพัฒนากลุ่มสตาร์ทอัพให้ไปสู่ตลาดที่กว้างขึ้นได้
ผลการศึกษาโครงการวิจัย ได้ข้อเสนอแนวทางและกลไกการสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยอาศัย อววน. แบ่งออกเป็น 4 แนวทาง ได้แก่ 1) แนวทางการสร้าง Soft Power เพื่อเป้าหมายการสร้าง Friends of Thailand ผ่านความร่วมมือ อววน. โดยจากการศึกษาวิจัยในโครงการนี้ สังเคราะห์มิติความร่วมมือที่สอดคล้องทั้งกับแนวทางการดำเนินยุทธศาสตร์การพัฒนากิจการ อววน. ของทั้งประเทศไทยและประเทศใกล้เคียงในภูมิภาค ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว อินโดนีเซีย และเวียดนาม (CLIV+T) อีกทั้งยังจะช่วยส่งเสริมการผลักดันโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศไทยในเวทีนานาชาติ โดยมิติความร่วมมือด้าน อววน. ที่ต้องให้ความสำคัญพิเศษ ได้แก่ การเกษตรแม่นยำ (Precision Farming), ความมั่นคงทางอาหารและอาหารอนาคต (Food Security and Future Food), การออกแบบและบ่มเพาะธุรกิจเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Design & Circular Business Incubation), นวัตกรรมวัฒนธรรมและสื่อดิจิทัลสร้างสรรค์ (Cultural Innovation & Creative Digital Contents), การพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมและผู้ประกอบการนวัตกรรม (Innovation Ecosystem and Innovation-driven Enterprise Development), อุทยานวิทยาศาสตร์ และอุทยานดิจิตอล (Science Park and Digital Park), การวิจัยขั้นแนวหน้าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Frontier Research for Sustainable Development)
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2022/12/LINE_ALBUM_CLIV_๒๒๑๒๒๒_0-1024x746.jpg)
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2022/12/LINE_ALBUM_CLIV_๒๒๑๒๒๒_4-1024x681.jpg)
2) แนวทางการพัฒนาความร่วมมือ อววน. ใน 7 มิติสำคัญ มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ Digitalization การพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมในโลกยุคดิจิทัล, Deception การอำพรางซ่อนเร้นของเทคโนโลยีใหม่ในช่วงแรก, Disruption คือช่วงเวลาแห่งความสำเร็จที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่จะมากระชากเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคให้เกิดการปรับตัวขนานใหญ่, Demonetization ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ดีจะทำให้ทุกคนใช้เงินลดลง ลดรายจ่ายลง ประหยัดได้มากยิ่งขึ้น, Dematerialization นอกจากการประหยัดเงินแล้ว เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ต้องช่วยลดการใช้ทรัพยากรลงด้วย, Democratization และในระดับสูงสุด เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่จะเข้าถึงคนส่วนใหญ่ สร้างประโยชน์ให้คนจำนวนมาก 3) ศักยภาพของ CLIV+T คือตลาดที่มีขนาดประชากรมากกว่า 462 ล้านคน มูลค่าผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี สูงกว่า 2.19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีกำลังซื้อระดับ 4,685 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี นอกจากนี้ยังมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูง และ 4) แนวทางการพัฒนาการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใน CLIV+T ในกลุ่ม Low-end Market จะเน้นการผลิตมากเพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง อาศัยกำไรจากการตั้งราคาที่ไม่สูงจากต้นทุน และเน้นการขายในปริมาณมาก ส่วน Mid-end Market เน้นการรวมเอาความสามารถในการตอบโจทย์ที่แตกต่างหลากหลายรวมกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น เพื่อเน้นตลาดในบางกลุ่ม บางส่วนตลาด บางพื้นที่ เพื่อสร้างชื่อเสียงและความชื่อสัตย์ต่อตราสินค้า ก่อนเข้าสู่ตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2022/12/LINE_ALBUM_CLIV_๒๒๑๒๒๒_5-1024x681.jpg)
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2022/12/LINE_ALBUM_CLIV_๒๒๑๒๒๒_6-1024x681.jpg)
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2022/12/LINE_ALBUM_CLIV_๒๒๑๒๒๒_8-1024x681.jpg)
ทั้งนี้ การพัฒนาความร่วมมือกับประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคนั้น มีกระบวนการที่สำคัญคือกระบวนการสร้างความไว้วางใจ ซึ่งประกอบด้วย การมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน ในแง่ของการสื่อสาร ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายและเนื้อหาสาระที่ชัดเจน เป็นประโยชน์กับประเทศในระยะยาว ส่วนต่อมาคือการมีศักยภาพเพียงพอ โดยแบ่งเป็นการมีความน่าเชื่อถือและความจริงใจ เคารพให้เกียรติ เป็นพันธมิตรที่เท่าเทียม แบ่งผลประโยชน์อย่างจริงจัง และส่วนสุดท้ายคือมีแรงจูงใจ ที่มีความต่อเนื่อง ในแง่ทรัพยากรมนุษย์ องค์ความรู้ งบประมาณ เป็นต้น