(11 พฤษภาคม 2566) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific: UNESCAP) สมาคมมหาวิทยาลัยภาคพื้นแปซิฟิก (Association of Pacific Rim Universities: APRU) กูเกิล (Google.org) มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University: ANU) และพันธมิตรภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการในประเทศไทย (Country Workshop) โครงการ “AI for Social Good: Strengthening Capabilities and Governance Frameworks in Asia and the Pacific” ณ ห้องหว้ากอ 1-2 สอวช. มีผู้เข้าร่วมการประชุม ทั้งทีมวิชาการ นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบาย ที่มาร่วมกันอภิปราย แลกเปลี่ยนความเห็น เพื่อหาแนวทางเชื่อมโยงผลการวิจัยไปสู่การสร้างนโยบายและนำไปปฏิบัติได้จริง โดยมี ดร.กาญจนา วานิชกร นักยุทธศาสตร์ระดับสูง สอวช. เป็นผู้กล่าวเปิดงาน
ดร.กาญจนา ได้กล่าวถึงความสำคัญของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ในประเทศไทย ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนประเทศในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัจจุบันที่กำลังอยู่ระหว่างการจัดการเลือกตั้ง จะเห็นได้ว่าหลายพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายการนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งประเทศไทยเอง มีปัญหาทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) รวมถึงมีแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (Thailand National AI Strategy and Action Plan) การจัดการประชุมในครั้งนี้จึงเป็นการมองถึงแนวทางการพัฒนาด้านนโยบายและการยกระดับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
สอวช. มองถึงการยกระดับแนวทางแก้ไขปัญหา ผ่านงานวิจัย การทำความร่วมมือกับภาคเอกชน และพันธมิตรในต่างประเทศ เพื่อพัฒนาแนวทางด้านนโยบายที่เป็นสากล โดยล่าสุด ทีมวิจัยได้มีการศึกษาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ใน 2 โครงการ ได้แก่ 1) ปัญญาประดิษฐ์สำหรับการแพทย์และสุขภาพ (Medicine and Healthcare) และ 2) ปัญหาประดิษฐ์ในการขจัดความยากจน (Poverty Alleviation)
“เราต้องการนโยบายที่เฉพาะเจาะจง ที่เราสามารถออกแบบเองได้ เพื่อให้เหมาะสมกับแนวทางการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในประเทศ โดยจะต้องใช้ฐานข้อมูลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และใช้เทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย หวังว่าการแลกเปลี่ยนความเห็นร่วมกันในการประชุมครั้งนี้ จะเกิดผลลัพธ์ที่เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.กาญจนา กล่าว
สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ ทีมวิจัยได้นำเสนอผลการวิจัยจากทั้ง 2 โครงการ และระบุถึงประเด็นโอกาสสำคัญที่จะสามารถทำงานร่วมกับพันธมิตรในภาครัฐได้ จากนั้นได้มีการแบ่งกลุ่มย่อย เพื่ออภิปราย แลกเปลี่ยนแนวคิด ความเห็นระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก ได้แก่ สอวช. สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ผู้แทนภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตรภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เพื่อปรับปรุงงานวิจัยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมถึงหารือแนวทางการนำผลการวิจัยไปต่อยอดและแปลงเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อไปได้
ทั้งนี้ ภายหลังจากการปรับปรุงงานวิจัยแล้วเสร็จสมบูรณ์ จะมีการประชุม (Summit) เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยทั้ง 2 โครงการในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ระหว่างวันที่ 9-11 กรกฎาคม 2566 ณ กรุงแคนเบอร์รา เครือรัฐออสเตรเลีย