สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.), สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และมหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยศูนย์การสร้างผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนโดยนวัตกรรม (Innovation-Driven Entrepreneurship Center: IDE Center) ได้ร่วมกันออกแบบและพัฒนาโครงการพัฒนานักวิจัยและโจทย์วิจัยที่มีศักยภาพต่อยอดเชิงพาณิชย์ (ไทยคอร์ป) เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมงานวิจัยที่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล
ทำไมต้องมีไทยคอร์ป
ในปัจจุบัน ดีพเทคสตาร์ทอัพ (Deep-Tech Startup) ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีเทคโนโลยีหลัก (Core Technology) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูง และมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีงานวิจัยและสิทธิบัตรที่แข็งแกร่ง แต่ยังขาดระบบที่ช่วยให้นักวิจัยสามารถพิสูจน์และปรับโจทย์วิจัยให้ตรงกับความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง ส่งผลให้งานวิจัยหรือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมานั้นยังไม่ตอบสนองกับความต้องการหรือนำไปต่อยอดเชิงธุรกิจได้อย่างจำกัด

ไทยคอร์ป: โมเดลใหม่ที่แตกต่าง
ไทยคอร์ป ได้รับแรงบันดาลใจจาก โครงการ Innovation Corps (I-Corps) ของ National Science Foundation (NSF) สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการให้กับอาจารย์และนักวิจัย ผ่านการใช้กระบวนการสำรวจความต้องการของลูกค้า (Customer discovery) เพื่อให้ทีมวิจัยสามารถนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไปต่อยอดงานวิจัยให้ตอบโจทย์ตลาดได้จริง โดยกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา โครงการ I-Corps มีทีมเข้าร่วมกว่า 2,500 ทีม สามารถก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ได้มากกว่า 1,400 ราย หรือคิดเป็นมากกว่า 50% ของผู้เข้าร่วมโครงการ พร้อมทั้งระดมทุนได้มากกว่า 110,400 ล้านบาท
จุดเด่นของ I-Corps ที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ คือกระบวนการ “Customer Discovery” และ “Lean Startup Approach” ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการต้องออกไปสัมภาษณ์และสังเกตตลาดจริง โดยแต่ละทีมต้องพูดคุยกับลูกค้าเป้าหมาย ไม่น้อยกว่า 100 ราย ภายในช่วงเวลา 7 สัปดาห์ตลอดโครงการ เพื่อทำความเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของลูกค้า และนำมาปรับเปลี่ยนแนวทางของงานวิจัยให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง
เป้าหมายของไทยคอร์ปต่อการพัฒนาทีมวิจัยไทย
ไทยคอร์ปไม่ได้เป็นเพียงโครงการฝึกอบรม แต่เป็นระบบสนับสนุนที่ครบวงจร ซึ่งช่วยให้ทีมวิจัยสามารถพัฒนางานวิจัยให้มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นไปที่:
- Business Validation: ทวนสอบความเป็นไปได้ของงานวิจัยในตลาดจริง
- Customer Discovery: ทำความเข้าใจความต้องการของตลาดและปรับโจทย์วิจัย
- Entrepreneurial Mindset: ปลูกฝังแนวคิดและทักษะด้านการเป็นผู้ประกอบการ
- Thai-Corps Ecosystem: สร้างเครือข่ายและเชื่อมโยงไปสู่ช่องทางสนับสนุนที่เหมาะสม
ไทยคอร์ปจะช่วยให้ทีมวิจัยได้มีโอกาส ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้สามารถปรับปรุงและนำผลงานวิจัยไปต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้อย่างแท้จริง
ไทยคอร์ป: โอกาสสำคัญของไทยสู่เศรษฐกิจนวัตกรรม
หากประเทศไทยต้องการก้าวเข้าสู่การเป็น เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Innovation-Based Economy) การมีระบบที่ช่วยแปลงงานวิจัยให้กลายเป็นธุรกิจที่แข่งขันได้เป็นสิ่งที่จำเป็น ไทยคอร์ปจึงเป็นโครงการสำคัญที่ ช่วยสร้างรากฐานให้กับ Deep-Tech Startup ไทย เพิ่มโอกาสในการระดมทุน และส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถสร้างธุรกิจเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้นในอนาคต
ด้วยการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานและเครือข่ายจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ไทยคอร์ปจึงไม่ใช่เพียงโครงการทดลอง แต่เป็น กลยุทธ์สำคัญในการปิดช่องว่างระหว่างงานวิจัยและตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับนักวิจัยไทย และสร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ เป้าหมายระยะยาวของการดำเนินโครงการไทยคอร์ปคือการขับเคลื่อนให้เกิดกลไกในลักษณะนี้เข้าเป็นกลไกสำคัญในระบบ ววน. ของไทย เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเงินลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมให้กับระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทย
ก้าวแรกของไทยคอร์ป: Kick-off Workshop รุ่นที่ 1
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีการจัดกิจกรรมเปิดตัวสัมมนาเชิงปฏิบัติการ (Kick-off Workshop) ในโครงการไทยคอร์ป รุ่นที่ 1 ณ โรงแรมกราฟ โฮเทล รัชดา โดย นางสาวสิรินยา ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโสฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจนวัตกรรม สอวช. ได้ร่วมแลกเปลี่ยนบทบาทการดำเนินงานของ สอวช. ในช่วง “การสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศไทย (Building the Deep-Tech Innovation Ecosystem in Thailand)” ร่วมกับ รศ. ดร.พงศ์พันธ์ แก้วตาทิพย์ ผู้อำนวยการหน่วยภารกิจยุทธศาสตร์ ววน. การพัฒนาเศรษฐกิจไทย และนายปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ดำเนินรายการโดย ดร.เอ็ดเวิร์ด รูเบช ผู้อำนวยการ IDE Center

นางสาวสิรินยา กล่าวว่า สอวช. เป็นหน่วยงานด้านนโยบาย ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) บทบาทสำคัญคือการสนับสนุนการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เข้มแข็งในประเทศไทย ผ่านการเติมเต็มช่องว่างที่มีอยู่ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ การจัดโปรแกรมสนับสนุนที่เหมาะสม ซึ่งจากการทำงานร่วมกับหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยจัดสรรงบประมาณ หน่วยให้ทุนและนักวิจัย พบว่าในแต่ละกลุ่มพบปัญหาข้อติดขัดที่แตกต่างกัน เช่น นักวิจัยไม่รู้แนวทางที่จะเข้าถึงภาคอุตสาหกรรม หน่วยงานให้ทุนไม่มีข้อเสนองานวิจัยที่ดีเพียงพอ และหน่วยจัดสรรงบประมาณที่มีโจทย์ในการใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพและสร้างผลกระทบมากยิ่งขึ้น แนวคิดของโครงการไทยคอร์ปจึงเข้ามาตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้ ในการสร้างระบบสนับสนุนนักวิจัย ให้สามารถคิดค้นงานวิจัยและเทคโนโลยีที่สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้เพิ่มมากขึ้น และทำให้นักวิจัยมีข้อเสนองานวิจัยที่ดีให้กับหน่วยงานให้ทุนด้วย


“เราต้องการหากลไกใหม่ ๆ ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศที่เคยประสบปัญหาเหล่านี้มาก่อนเรา หลังจากที่ได้รู้จักกับโปรแกรม I-Corps คิดว่ากลไกนี้อาจจะสามารถนำมาปรับให้เหมาะสมกับบริบทประเทศไทยได้ จึงนำโปรแกรมนี้เข้ามาทดลองลอง ก่อนจะขยายผลไปในระดับประเทศ ซึ่งใน สอวช. เราก็มีหลายโครงการที่เรียกว่า แซนด์บ็อกซ์ เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและคนในระบบ เช่น หน่วยให้ทุน มาเรียนรู้กลไกนี้ร่วมกัน” นางสาวสิรินยา กล่าว

ด้าน นายปริวรรต กล่าวถึงบทบาทของ NIA ในการเป็นหน่วยงานให้ทุน ที่จะให้ทุนกับผู้ประกอบการที่พัฒนานวัตกรรม รวมถึงดูแลและทำงานร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม เพื่อให้การจัดสรรทุนเกิดประสิทธิภาพและมีผลงานออกไปสู่ตลาดได้จริง โดยทาง NIA มีแพลตฟอร์มช่วยเสริมสร้างความรู้ การเข้าถึงเทคโนโลยี การเข้าสู่ตลาด การทดสอบตลาด เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบัน NIA มีขอบเขตการให้ทุนครอบคลุมสาขาต่าง ๆ ได้แก่ เกษตรและอาหาร สุขภาพ เทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศ ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ การท่องเที่ยว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีหลายโปรแกรมที่เปิดให้เรียนรู้แนวทางการพัฒนาเป็น IDE โดยให้ความรู้ตั้งแต่แนวทางการหาทุน การพัฒนาธุรกิจ การจับคู่การให้ทุน แนวทางเร่งการเข้าสู่ตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

รศ. ดร.พงศ์พันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้มีการปฏิรูประบบวิจัยและนวัตกรรม โดยปรับโครงสร้างใหม่ให้มีหน่วยงานด้านนโยบายอย่าง สอวช. และมีหน่วยงานที่ดูแลการจัดสรรงบประมาณ อย่าง สกสว. ที่มีหน่วยบริหารและจัดการทุน (Program Management Unit: PMU) อยู่ภายใต้ รวม 9 หน่วยงาน โดยในปีงบประมาณ 2568 มีงบประมาณด้านการวิจัยรวม 19,250.77 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาคิดเป็น 1.3% ของจีดีพี โดย สกสว. มีมาตรการสนับสนุนทุนสำหรับภาคเอกชน เพื่อพัฒนาผลงานวิจัยและนวัตกรรมตามความต้องการของภาครัฐหรือตามอุปสงค์ของตลาด (Thailand Business Innovation Research: TBIR / Thailand Technology Transfer Research: TTTR) มีหลักการสำคัญคือเน้นการพัฒนา RDI (Research, Development, Innovation) สำหรับปัญหา/ความต้องการที่สำคัญที่มีโอกาสเกิดการจัดซื้อจัดจ้างจากรัฐ หรือตามอุปสงค์ของตลาด และในระยะที่ 2 คือ Feasibility Study และ Prototype development โดยการสนับสนุนระยะเข้าสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์จะอาศัยมาตรการอื่น ๆ ของกองทุนที่มี เช่น โปรแกรมของ บพข. และ NIA เป็นต้น

สำหรับการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ จัดขึ้นในวันที่ 17-20 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเป็นการฝึกอบรมจากทีม VentureWell ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีประสบการณ์ในการดำเนินโครงการ I-Corps ในสหรัฐอเมริกามาอย่างยาวนาน โดยในแต่ละวันจะมีกิจกรรมฝึกอบรมและพัฒนาทีมและโค้ชอย่างเข้มข้น และมีกิจกรรมให้ทีมได้ออกไปสัมภาษณ์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งในแบบเจอตัวจริง (Face to Face Interview) หรือแบบออนไลน์ โดยหลังจากนี้จะมีการดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องผ่านรูปแบบออนไลน์ถึงวันที่ 3 เมษายน 2568 โดยทีมจะต้องสัมภาษณ์กลุ่มลูกค้าและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกว่า 100 คน ช่วยให้ทีมได้ทำความเข้าใจกระบวนการและความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ก่อนจะนำมาต่อยอดเป็นโจทย์วิจัยที่มีศักยภาพพาณิชย์ ช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ ต่อไป



