สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) แถลงความร่วมมือ ภายใต้บันทึกความร่วมมือสนับสนุนการดำเนินงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำหนดทิศทางการขับเคลื่อนงานวิจัย มุ่งเน้นการประยุกต์ใช้ เสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดย ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. ได้แถลงความร่วมมือในการพัฒนา ขับเคลื่อนกรอบและแผนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และร่วมปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางนโยบายเพื่อการขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ณ โรงแรม ทีเค. พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ

ดร.สุรชัย กล่าวว่า ทั้ง 4 หน่วยงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ โดยที่ผ่านมาประเทศไทยมีการปรับโครงสร้างระบบวิจัยใหม่ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น มีการตั้งกองทุนสนับสนุนการดำเนินการวิจัย ตั้งแต่การวิจัยขั้นพื้นฐานไปจนถึงการนำไปใช้ประโยชน์จริง โดย สอวช. มีภารกิจเชิงนโยบายร่วมพิจารณาว่าประเทศไทยควรขับเคลื่อนงานวิจัยในประเด็นใด โดย สอวช.ถือว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change เป็นหนึ่งหัวข้อที่มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน

“องค์ความรู้ที่มีอยู่ในไทยไม่ได้ต่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วมากนัก แต่ยังต้องมีองค์ความรู้ที่พัฒนาใหม่อยู่ต่อเนื่อง โดยองค์ความรู้ต้องมาจากงานวิจัย ซึ่งจะมีความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้อ้างอิงในการประชุมระดับโลกได้ เช่น การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ COP ที่ สอวช. ได้ทำหน้าที่สนับสนุนทีมเจรจาของประเทศไทยมานานกว่า 10 ปี” ดร.สุรชัย กล่าว


สอวช. ยังได้รับบทบาทเป็นหน่วยประสานงานกลางด้านการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย (National Designated Entity: NDE) ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) โดยเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology transfer) โดยเฉพาะนำเทคโนโลยีจากประเทศพัฒนาแล้วมาสนับสนุนเทคโนโลยีภายในประเทศ ซึ่งพบว่ามีหลายเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว แต่ยังต้องถูกปรับให้เหมาะสมเมื่อนำมาใช้ในบริบทประเทศไทย จึงต้องการงานวิจัยอีกหลายอย่างเพื่อมาสนับสนุนเรื่องนี้
อีกบทบาทสำคัญคือ สอวช. ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Facility: GEF) ให้ช่วยในการประเมินความต้องการเทคโนโลยีของไทย (Technology Needs Assessment: TNA) ว่าประเทศมีความต้องการเทคโนโลยีใดบ้าง จึงต้องทำงานกับ สส. สกสว. ทปอ. รวมถึงภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ผลตรงตามความต้องการของประเทศมากที่สุดและเชื่อมโยงไปถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีในอนาคตด้วย



ด้าน รศ.วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการ สอวช. ได้ร่วมการเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ “กรอบและแผนงานวิจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” โดยได้กล่าวถึงหมุดหมายสำคัญที่ กระทรวง อว. ตั้งไว้ ที่เน้นเรื่องการสนับสนุนนโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของรัฐบาล โดยมีการขับเคลื่อนใน 2 ส่วน ทั้งการพัฒนากำลังคน ในส่วนของการทำ Green Talent Creation รวมถึงโครงการ Net Zero Campus ที่กระทรวง อว. เริ่มดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2567 เป็นการสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยเป็นตัวอย่างนำร่องให้กับชุมชน สังคม อุตสาหกรรม ภาคธุรกิจบริการ ในการดำเนินการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยหมุดหมายนี้จะเกี่ยวโยงกับเรื่องนวัตกรรม คือการวิจัยและพัฒนา ที่แต่ละหน่วยงานมาร่วมกันทำกรอบแนวความคิดในการทำแผนวิจัยและพัฒนาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัย ภายใต้กระทรวง อว. เป็นหน่วยงานกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอีกส่วนหนึ่งคือ Climate Change Service Provider & Engagement ที่นอกจากมหาวิทยาลัยจะขับเคลื่อนเรื่องนี้เองแล้ว จะต้องออกไปช่วยภาคส่วนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายร่วมกัน

สำหรับข้อเสนอมาตรการในการนำ อววน. เข้าหนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero ของประเทศไทย ประกอบด้วย กลไกด้านความร่วมมือในการพัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัยและเครือข่ายนวัตกรรมการลดก๊าซเรือนกระจก ส่วนต่อมาคือกลไกการถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี มีกลไกหรือแพลตฟอร์มถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรม ต่อยอดเทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา และแผนที่นำทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม และในส่วนสุดท้ายคือกลไกสนับสนุนด้านการเงิน ในการพัฒนากลไกการร่วมลงทุนด้านวิจัย เทคโนโลยีและนวัตกรรม และการสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นการ Scale-up และ Demonstration ผ่านเครือข่ายนวัตกรรมการลดก๊าซเรือนกระจก

บทบาทของ สอวช. มีทั้งการสนับสนุนมหาวิทยาลัยให้มุ่งสู่การเป็น Net Zero Campus โดยจะมีกลไก การพัฒนานวัตกรรม การวางแผนให้การลดก๊าซเรือนกระจกเกิดขึ้นจริง (Pathway) เริ่มนำร่องในมหาวิทยาลัย 50 แห่ง ตั้งแต่ต้นปี 2567 ล่าสุดได้มีการทำแพลตฟอร์มผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมหาวิทยาลัยนำร่องแล้ว รวมถึงการพัฒนากระบวนการทวนสอบผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจริงด้วย นอกจากนี้ สอวช. ยังช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมภายนอกในลักษณะพื้นที่นำร่อง (Sandbox) เช่น สระบุรี หรือแม่เมาะ และพื้นที่อื่น ๆ โดยมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
รศ.วงกต ยังได้เน้นย้ำว่า ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความสำคัญมาก ทั้งในแง่แนวทางการลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการปรับตัวเพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเทคโนโลยีหลัก ๆ ที่จะเข้ามาช่วยในการไปสู่เป้าหมาย Net Zero ได้แก่ 1. การดักจับคาร์บอน การใช้ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) 2. การพัฒนาด้านไฮโดรเจน (Hydrogen) 3. ยานยนต์ไฟฟ้าและการพัฒนาแบตเตอรี่ (Electric Vehicles & batteries development) 4. แนวคิดทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular concept applications) และ 5. การแก้ปัญหาโดยอาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based Solutions: NbS) อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเหล่านี้ยังพบว่ามีข้อติดขัดในเรื่องการเงิน จึงจำเป็นต้องมีการศึกษากลไกการเงินใหม่เพื่อช่วยขับเคลื่อนเทคโนโลยีเหล่านี้ด้วย
“ภารกิจของ สส. สำคัญมาก เพราะสร้างผลกระทบทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน เมื่อมีการวางแผนและเริ่มขับเคลื่อนงานไปแล้วต้องทำให้เกิดขึ้นได้จริง ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ต้องสร้างการมีส่วนร่วมในการทำงานและแบ่งปันผลสำเร็จที่เกิดขึ้นร่วมกัน เพื่อให้ประเทศไทยมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาล” รศ.วงกต กล่าวทิ้งท้าย
