ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอล ประกาศนโยบายให้ประชาชนอิสราเอลไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะอีกต่อไป ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ทำให้นี่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย สอวช. จึงได้นำบทความถอดความสำเร็จของประเทศอิสราเอล ว่าทำอย่างไรพวกเขาจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบไร้หน้ากากได้
ถึงแม้นโยบาย “ยกเลิกสวมหน้ากากอนามัย” ในอิสราเอลจะจำกัดเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ พื้นที่เปิดโล่ง ภายนอกอาคารเท่านั้น แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้การสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะถูกยกเลิกไปนั่นเป็นเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ในอิสราเอลดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากการฉีดวัคซีนที่สร้างผลลัพธ์ในทางที่ดี ประชากรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสอย่างเต็มที่และพบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่รายวันและผู้ป่วยร้ายแรงลดลง
โดยประเทศอิสราเอลเริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนมา ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม ปี 2563 ด้วยวัคซีนของไฟเซอร์ หลังการฉีดวัคซีนเพียง 3 สัปดาห์มีประชาชนได้รับวัคซีนโดสแรกกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ด้วยขนาดของประเทศที่มีขนาดเล็ก อ้างอิงตามข้อมูลของธนาคารโลก, Eurostat พบว่า ในปี 2563 อิสราเอลมีจำนวนประชากรอยู่ที่ประมาณ 9.053 ล้านคน ทำให้การฉีดวัคซีนกระจายไปถึงประชากรอิสราเอลได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงแรกการฉีดวัคซีนมุ่งไปที่กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรงหากได้รับเชื้อ และหลังจากนั้น 8 สัปดาห์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกือบ 85% ในโรงพยาบาลเมืองเยรูซาเล็ม ได้รับการฉีดวัคซีน จากข้อมูลพบว่า ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ชาวอิสราเอลที่อายุเกิน 60 ปีอย่างน้อย 90% ได้รับวัคซีนไฟเซอร์โดสแรก ส่งผลให้การติดเชื้อในประเทศลดลง 41% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
ข้อมูลล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุขอิสราเอล เปิดเผยว่า ผลรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในวันที่ 15 เมษายน 2564 มีจำนวน 196 ราย รวมผู้ป่วยสะสมในการระบาดครั้งก่อนหน้าทั้งหมดอยู่ที่ 836,706 ราย ขณะที่ปัจจุบันมีชาวอิสราเอล 5,338,967 ราย ที่ได้รับวัคซีนโคโรนาไวรัสแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และกว่า 4,961,238 ราย ที่ได้รับวัคซีนแล้วครบ 2 ครั้ง
ในขณะที่ประเทศไทยเอง มีจำนวนประชากรมากกว่าอิสราเอลเกือบ 8 เท่า ถึงแม้จะเข้าสู่วิกฤตการระบาดของโควิด-19 ในระลอกที่ 3 ทุกภาคส่วนต่างกำลังมีความพยายามและความร่วมมืออย่างสูงสุดที่จะบริหารจัดการสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ และเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้รับการดูแล เข้าถึงการบริการของสถานพยาบาลอย่างทั่วถึง และให้ประเทศของเรากลับมาสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็วที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/145794