messenger icon
×
หน้าหลัก » ข่าวประชาสัมพันธ์ » ที่ประชุม กอวช. ถก มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในไทย “สอวช.” เสนอ สนับสนุนทุนวิจัย พัฒนาบุคลากร เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ

ที่ประชุม กอวช. ถก มาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในไทย “สอวช.” เสนอ สนับสนุนทุนวิจัย พัฒนาบุคลากร เพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ

วันที่เผยแพร่ 29 มกราคม 2025 51 Views

(27 มกราคม 2568) นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (กอวช.) ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงฯ (สป.อว.) โดยที่ประชุมได้หารือกันถึงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย

โดย ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า สอวช. ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคตของประเทศไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก ส่งผลให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่มีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งการผลักดันเรื่องนี้ยังสอดรับกับนโยบาย อว. For EV ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. ด้วย

ดร.ธนาคาร วงษ์ดีไทย นักยุทธศาสตร์ 1 โครงการพิเศษนโยบายเทคโนโลยียานยนต์และการขนส่งแห่งอนาคต ได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า สอวช. ได้ทำการศึกษาข้อมูลความต้องการแบตเตอรี่ของโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2030 จะมีความต้องการแบตเตอรี่รวมกันมากถึง 4,917 กิกะวัตต์-ชั่วโมง (GWh) ต่อปี คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 49.17 ล้านล้าน บาท หรือ 275% ของ GDP ไทยในปี 2023  โดยความต้องการแบ่งออกเป็น EV จำนวน 3,388 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี และ Non-EV จำนวน 1,529 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี ส่วนความต้องการแบตเตอรี่ของไทยนั้น มีการคาดการณ์ว่า หากสัดส่วนความต้องการแบตเตอรี่ของไทย สอดคล้องกับความต้องการแบตเตอรี่ของโลกในปี 2030 ประเทศไทยจะมีความต้องการแบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าจำนวน 30 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี และสำหรับอุตสาหกรรมอื่นจำนวน 13.5 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปี คิดเป็นมูลค่ารวมกัน ประมาณ 4.35 แสนล้านบาทต่อปี หรือเทียบเป็น 2.43% ของ GDP ไทย

ดร.ธนาคาร ยังได้นำเสนอถึงปัญหาอุปสรรคสำคัญของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย เมื่อเทียบกับนโยบายและมาตรการ ส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในต่างประเทศ ที่มีการออกมาตรการสนับสนุนอย่างจริงจัง ทั้งในด้านอุปทาน (supply) และอุปสงค์ (demand) ไปควบคู่กัน นอกจากนี้ยังมีการให้ทุนวิจัยด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่โครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง 3–5 ปี ซึ่งหากประเทศไทยได้รับการสนับสนุนคาดว่า ภายในปีนี้ผู้ผลิตรายใหญ่อย่างน้อย 2 ราย จะมีความชัดเจนในการเข้ามาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในไทย โดยแต่ละรายจะมีขนาดกำลังการผลิตในเฟสแรกประมาณ 6-10 กิกะวัตต์-ชั่วโมง มูลค่าเงินลงทุนเฟสแรกรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท

ในทางกลับกัน หากไม่ได้รับการสนับสนุนก็จะส่งผลกระทบ 4 ด้าน ได้แก่ 1. สูญเสียเม็ดเงินในเศรษฐกิจ 135,000 – 435,000 ล้านบาทต่อปี 2. สูญเสียการลงทุนในประเทศ 30,000 – 132,000 ล้านบาท จากการตั้งโรงงานในประเทศ 3. สูญเสียโอกาสในการจ้างงาน อย่างน้อย 1,000 อัตรา ซึ่งจะกระทบถึง 500-1,000 ครัวเรือน และ 4. สูญเสียโอกาสในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงโอกาสในการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รวมค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ จากการไม่ลงทุนในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ อย่างน้อย 560,000 ล้านบาท (3.1% GDP ไทย) และเสียโอกาสทางตรงต่อเนื่อง อย่างน้อยปีละ 140,000 ล้านบาท (0.8% GDP ไทย)

ดร.ธนาคาร ได้นำเสนอร่างข้อเสนอการกำหนดเป้าหมายของอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย โดยขอให้ประเทศไทยตั้งเป้าหมายสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ขั้นต่ำสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ใน 2 กลุ่ม คือ 1. ประเทศไทยผลิตแบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 30 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปีในปี 2030 และ 2. ประเทศไทยผลิตแบตเตอรี่สำหรับ อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ยานยนต์ไฟฟ้า 13.5 กิกะวัตต์-ชั่วโมง ต่อปีในปี 2030 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้นำเสนอมาตรการเร่งด่วนสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย โดยขอให้ใช้มาตรการเจรจาดึงดูดการลงทุน ข้อเสนอมาตรการเร่งด่วน สำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย ตลอดจนมาตรการในช่วงการเจรจาดึงดูดการลงทุน โดยขอให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ตั้งเงื่อนไขการตั้งโรงงานเซลล์แบตเตอรี่ในไทย ดังนี้ 1. ให้พนักงานทั้งหมดรวมถึงสัญญาจ้างและรับจ้างช่วง ควรต้องมีสัญชาติไทย อย่างน้อย 90% ของพนักงานทั้งหมด 2. มีการทำการวิจัยและพัฒนา (R&D) แบตเตอรี่ในประเทศ หรือควรต้องตั้งศูนย์ R&D แบตเตอรี่ในประเทศไทย โดยวิศวกรและนักวิจัยในศูนย์ดังกล่าวอย่างน้อย 70% ควรต้องมีสัญชาติไทย 3. ชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ ต้องผลิตในประเทศไทยอย่างน้อย 1 ชิ้น 4. สนับสนุนการจับคู่ธุรกิจให้เกิดการสร้างห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ของชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในประเทศ 5. สร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาบุคลกรร่วมกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคเอกชน สนับสนุนให้เกิดการเรียนและฝึกงานทำงานในภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ 6. กรณีที่ลงทุนเครื่องจักรเพื่อการผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอุตสาหกรรมระบบกักเก็บพลังงาน (เช่น อุตสาหกรรม โดรน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม เป็นต้น) จะได้รับการสนับสนุนการลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม 7. กรณีที่จัดตั้งโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ในจังหวัดรอง จะได้รับการสนับสนุนการลงทุนเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอมาตรการ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยระยะสั้น ขอให้กระทรวง อว. พิจารณาจัดสรรทุนวิจัยขนาดใหญ่ในลักษณะ Multi-year รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรใหม่ และการพัฒนาบุคลากร รีสกิล อัพสกิล วิศวกรและนักวิจัยที่มีอยู่ และนักศึกษาสาย STEM ชั้นปีที่ 3 – 4 ให้สามารถทำงานในโรงงานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ได้ สนับสนุนการดึงบุคลากรไทยที่ทำงานในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง กลับมาทำงานให้อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ของไทย และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณายกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับเซลล์แบตเตอรี่ที่นำเข้า รวมถึงพิจารณายกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับแบตเตอรี่เซลล์เพื่อวิจัยพัฒนา และขอให้พิจารณาจัดตั้ง หรือ สนับสนุนให้มีการประชุมของคณะกรรมการหรืออนุกรรมการระดับชาติที่เกี่ยวข้อง เพื่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ที่ใช้ได้กับหลายอุตสาหกรรม

สำหรับมาตรการระยะกลาง ควรมีการจัดสรรทุนวิจัย Multi-year และงบพัฒนาบุคลากรสำหรับการวิจัยการรีไซเคิลแบตเตอรี่ และการผลิตวัตถุดิบจากวัสดุรีไซเคิล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดสรรเงินอุดหนุนแบตเตอรี่ความจุสูง ที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศ จัดมาตรการลดหย่อนภาษีบุคคล นิติบุคคล พิจารณาปรับขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับการนำเข้าแบตเตอรี่ความจุสูงจากต่างประเทศเพื่อสร้างอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง และพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับแบตเตอรี่ความจุสูง

ส่วนมาตรการระยะยาว เน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยตลอดห่วงโซ่มูลค่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ไทย ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยสามารถผลิตแบตเตอรี่ใช้เองมากขึ้น ในกรณีที่หากไม่สามารถนำเข้าแบตเตอรี่จากต่างประเทศได้ รวมถึงการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ ตลอดจนขยายศักยภาพในการออกแบบแบตเตอรี่แพ็ค และการทดสอบแบตเตอรี่ให้ครอบคลุมทุกภูมิภาค

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือกันในเรื่องดังกล่าว โดยในภาพรวมเห็นด้วยกับข้อเสนอของ สอวช. ขณะเดียวกันได้ขอให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้สอดรับกับมาตรการที่ได้นำเสนอ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งดำเนินการ

เรื่องล่าสุด