![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2021/08/Cover-FB-8-1024x1024.jpg)
(11 สิงหาคม 2564) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดงานเสวนา “แนวทางขับเคลื่อนการจัดการขยะอย่างยั่งยืนมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน” ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมทั้งในกลุ่มภาครัฐ ประชาชน นักเรียน นักศึกษา ภาคเอกชน นักวิชาการ องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม รวมกว่า 245 ท่าน
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2021/08/CE_แนวทางขับเคลื่อนการจัดการขยะ_1-1024x501.jpg)
ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. ได้เปิดงานด้วยการกล่าวถึงความสำคัญของ บีซีจี โมเดล ซึ่งถูกยกขึ้นเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ และ สอวช. ได้ยกเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นระเบียบวาระทางนโยบายที่สำคัญ มีการดำเนินงาน CE Innovation Policy Forum นำเอานวัตกรรมเข้ามาบริหารจัดการเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการช่วยลดการใช้ทรัพยากร สำหรับโมเดลสำคัญที่จะมาช่วยเรื่องการบริหารจัดการขยะบรรจุภัณฑ์นั้น มีหลักการ “ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต” (Extended Producer Responsibility: EPR) ที่ สอวช. ร่วมงานกับหลายหน่วยงาน และเริ่มดำเนินการไปแล้วในหลายมิติ ทั้งการสร้างความตระหนักของภาคส่วนต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัย โรงเรียน แต่ในขณะเดียวกันบทบาทของภาคการผลิตและบริการ ก็มีส่วนที่สำคัญมากในการช่วยจัดการเรื่องนี้
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2021/08/1-ดร.-กิติพงค์-ผู้อำนวยการ-สอวช.-1024x631.jpg)
“สอวช. ได้ร่วมกับสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (Global Compact Network Thailand) จัดโครงการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบหมุนเวียน หรือ Circular Design เพื่อถ่ายทอดแนวทางการออกแบบ การจัดการด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนไปสู่ผู้ผลิตโดยตรง เป็นการสร้างความเข้าใจ สร้างความตระหนักให้มองเห็นว่า เศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่ใช่การสร้างภาระ แต่สามารถสร้างโอกาส สร้างธุรกิจใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดขึ้นได้ และหากมองตั้งแต่การผลิตต้นน้ำไปจนตลอดห่วงโซ่คุณค่าก็จะพบว่าเศรษฐกิจหมุนเวียนยังช่วยสร้างกำไรได้อีกด้วย ในส่วนของ EPR หลายประเทศยกระดับขึ้นไปเป็นกฎหมาย เช่น จีน สิงคโปร์ ที่ให้มีการลงทะเบียนขวดพลาสติก ที่สามารถตรวจสอบจำนวนการผลิต และติดตามผลหลังการบริโภคได้ ขณะที่ในประเทศไทยอยู่ในช่วงของการรณรงค์ให้เกิดการดำเนินการในด้านนี้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทเอกชนหลายบริษัทได้เริ่มต้นทำเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการนำนวัตกรรมหลายส่วนเข้าไปช่วย ขณะเดียวกันหน่วยงานให้ทุนภายใต้การกำกับดูแลของ สอวช. อย่างหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ก็ได้มีการให้ทุนไปทำเรื่องนวัตกรรม สนับสนุนให้เกิดการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน” ดร. กิติพงค์ กล่าว
ในด้านนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ บีซีจี และการขับเคลื่อนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ดร. กาญจนา วานิชกร รองผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยว่า บีซีจี เป็นแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจที่ใช้จุดแข็งของไทยในเรื่องการมีฐานชีวภาพ วัฒนธรรมที่หลากหลาย ผสานกับแนวคิดของการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ต้องดูเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในส่วนการขับเคลื่อนเน้นให้มีความครอบคลุม โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มที่สำคัญ ได้แก่ เกษตรและอาหาร, พลังงาน วัสดุและเคมีชีวภาพ, สุขภาพและการแพทย์, ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในส่วนกลไกการบริหาร ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใน 3 ระดับ คือ คณะกรรมการบริหารการพัฒนาเศรษฐกิจบีซีจี คณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบีซีจี และคณะอนุกรรมการเพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจบีซีจี
สำหรับกรอบการพัฒนา CE Innovation Strategy แผนระยะ 10 ปี ในปี 2030 ได้มองเป้าหมาย 3 เรื่องใหญ่ คือการลดการใช้ทรัพยากรลง 1 ใน 4 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างน้อย 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ รวมถึงการสร้างมูลค่าจากเศรษฐกิจหมุนเวียน 1-3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ จีดีพี จากเป้าหมายที่ตั้งไว้สามารถมองการขับเคลื่อนได้ใน 2 ส่วน คือการแก้ปัญหาเดิม จะมองในเรื่องการแลกเปลี่ยนของเสีย/วัสดุเหลือใช้ซึ่งกันและกัน การขนส่งสินค้าคืนสู่ผู้ขายและรีไซเคิล การหมุนเวียนอาหารถูกทิ้ง รวมถึงด้านการก่อสร้าง ที่จะออกมาเป็นโครงการนำร่องและมีการผลักดันการขับเคลื่อนร่วมกัน อีกส่วนหนึ่งคือการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จะมองในเรื่องการสร้าง Solution Platform เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยทั้งในเรื่องทางเทคนิค การทำ Match Making, Circular Design รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดผู้ให้บริการทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนปัจจัยเอื้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือ กลไกส่งเสริมด้านการตลาด กฎหมาย กฎระเบียบ ที่จะต้องมีการผลักดันร่วมกันต่อไปด้วย
สำหรับแนวคิดการขับเคลื่อน CE Innovation Strategy 2030 จะแบ่งระยะการดำเนินงานและ Milestones ออกเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกในปี 2565-2567 เน้นการสร้าง Innovation Platform สร้างพื้นที่ให้คนที่มีความสนใจในเรื่องนี้มาทำงานร่วมกัน รวมถึงการใช้กลไกของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว). เข้าไปทำโปรแกรมปักหมุด โครงการนำร่อง ที่จะทำให้การทำงานในส่วนต่างๆ ขยายผลได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็เน้นวางรากฐานการศึกษาในเรื่องของกฎหมาย กฎระเบียบ ที่จะช่วยขับเคลื่อนในเรื่องเศรษฐกิจหมุนเวียน ในช่วงที่สอง ปี 2568-2570 ระบบนิเวศ ปัจจัยเอื้อต่างๆ จะต้องเริ่มมีความพร้อมมากพอที่จะให้ผู้ให้บริการเศรษฐกิจหมุนเวียนสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัว เช่น การผลักดันเรื่องการทำไกด์ไลน์ การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงเรื่องมาตรฐานและระบบติดตามประเมินผล ในช่วงที่สาม ปี 2571-2573 เมื่อผู้ประกอบการมีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจแล้ว จะเน้นเรื่องของการส่งเสริมให้มีการขยายตลาดไปในระดับภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการส่งเสริมการออกมาตรฐานต่างๆ การเชื่อมโยงไปกับห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ในระดับภูมิภาคไปถึงในระดับโลก
ในส่วนบทบาทของกระทรวง อว. ยังมีกลไกเรื่องการให้ทุนของ บพข. ที่มีโปรแกรมสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ โครงการนำร่องที่ทำให้เกิดความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่าเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (CE Champion), การสนับสนุนการทำวิจัยของธุรกิจแพลตฟอร์ม (CE Platform), การวิจัยเกี่ยวกับวัตถุดิบรอบสองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับอุตสาหกรรม (CE RDI) นอกจากนี้ สอวช. ยังได้เริ่มขับเคลื่อนการดำเนินงานร่วมกับพันธมิตร คือ โปรแกรม CIRCO ของประเทศเนเธอแลนด์ เพื่อให้บริษัทที่เข้าร่วมได้รับ blueprint/roadmap ในการที่จะปรับรูปแบบธุรกิจไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน อีกส่วนหนึ่งคือโครงการ CE Innovation Policy Forum ที่เป็นเวทีให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในกลุ่มต่างๆ ได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชื่อมโยงกับการจัดทำนโยบาย การหาเป้าหมาย หากลไกการจะขับเคลื่อนร่วมกัน และนำข้อสรุปที่ได้ไปผลักดันทั้งในเรื่อง พ.ร.บ.ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงการทำโครงการนำร่องที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งในปี 2565 เป็นปีที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) สอวช. ก็ได้เริ่มขับเคลื่อนเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับเอเปคด้วย
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2021/08/CE_แนวทางขับเคลื่อนการจัดการขยะ_3-1024x605.jpg)
ดร. กาญจนา ได้กล่าวปิดท้ายถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนว่า สอวช. ในฐานะหน่วยงานด้านนโยบายได้พยายามเชื่อมโยงหน่วยงานด้านนโยบายในกระทรวงต่างๆ ให้มีการดำเนินงานในเป้าหมายเดียวกัน และทำงานร่วมกันในเชิงบูรณาการ เนื่องจากการขับเคลื่อนเรื่องนี้มีผลกระทบกับคนจำนวนมาก ทั้งการเปลี่ยนผ่านของภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนธุรกิจ รูปแบบการผลิต หรือประชาชนที่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การจะขับเคลื่อนในทุกภาคส่วนจึงต้องมีการทำงานร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่ง สอวช. จะทำงานในส่วนนี้ต่อในเรื่องของนโยบาย รวมถึงการคิดเรื่องกลไก การทำงานในเชิงระบบ เพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนที่เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับงานเสวนาในครั้งนี้ยังได้มีการพูดถึงประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่น่าสนใจ ทั้งผลการศึกษาและข้อเสนอแนะต่อการจัดการขยะ มุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน, ทิศทางนโยบายและกฎหมายว่าด้วยการจัดการขยะและส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน, ข้อเสนอ EPR เพื่อการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเทศไทย, ความเป็นไปได้ในการจัดระบบเก็บขยะแบบแยกประเภทและความร่วมมือกับภาคเอกชนภายใต้แนวคิด EPR, และบทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ต.ล.ท.) ต่อการส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนมุ่งสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนและกลไก EPR
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2021/08/CE_แนวทางขับเคลื่อนการจัดการขยะ_2-1024x483.jpg)
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2021/08/CE_แนวทางขับเคลื่อนการจัดการขยะ_6-1024x611.jpg)
ผู้สนใจสามารถรับชมงานเสวนาย้อนหลังได้ที่ : https://fb.watch/7lUPuxE31N/