สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (โคโรน่าไวรัส หรือ COVID-19) เป็นเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพของประชากร โดยจากข้อมูล ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2563 มีการระบาดทั่วโลกกว่าสี่ล้านราย โดยเป็นผู้ป่วยที่พบในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปรวมกันถึงร้อยละ 50 ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องออกมาตรการยับยั้งการแพร่ระบาด เช่น การปิดเมือง (lockdown) ทั้งภายในประเทศและการปิดพรมแดนระหว่างประเทศ การให้อยู่ในที่พักอาศัยทั้งการบังคับและความสมัครใจ (voluntary/compulsory self-quarantine/isolation) การตรวจและติดตามกลุ่มเสี่ยง (contact tracing) การปิดสถานประกอบการบางประเภทที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างและการปิดสถานศึกษาชั่วคราว การเว้นช่องว่างทางสังคม ซึ่งมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้เอง ผนวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบทั้งต่อสถานภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ กล่าวคือ บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีเงินทุนหมุนเวียนไม่มากนักจะเกิดปัญหาสภาพคล่องจากการที่ธุรกิจต้องปิดตัวลงชั่วคราว ประชาชนที่เป็นกลุ่มแรงงานขาดรายได้ทั้งจากการเลิกจ้างชั่วคราวและถาวร ในขณะที่ด้านสังคม พฤติกรรมของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป
จากผลกระทบที่เกิดขึ้น รัฐบาลของแต่ละประเทศจึงออกมาตรการต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกันในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 เช่น สหรัฐอเมริกาได้อนุมัติเงินกระตุ้นเศรษฐกิจรวมมูลค่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของงบประมาณภาครัฐต่อปี โดยจะนำไปใช้ในการช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ การเพิ่มประกันการว่างงาน และการพัฒนาระบบสาธารณสุข อังกฤษจัดสรรงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 65,500 ล้านปอนด์ โดยจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งสนับสนุนการสาธารณสุขของประเทศ การปล่อยสินเชื่อที่มีรัฐค้ำประกัน ให้แก่ภาคธุรกิจค้าปลีกและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม
สำหรับประเทศไทย สถานการณ์การแพร่ระบาดในภาพรวม พบว่า มีผู้ป่วยรายแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2563 และเริ่มมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องมาหลังจากนั้น จนถึงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร และเริ่มใช้มาตรการต่าง ๆ อย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด รวมทั้งการยกระดับศักยภาพระบบสาธารณสุขเพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จนถึง 27 เมษายน 2563 เป็นวันแรกที่มีการยืนยันผู้ป่วยใหม่รายวันต่ำกว่า 10 คน และวันที่ 3 พฤษภาคม 2563 ภาครัฐได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมบางอย่าง และอนุญาตให้กิจการบางส่วนสามารถกลับมาดำเนินการได้ภายใต้แนวปฏิบัติและการควบคุมอย่างเข้มข้นจากภาครัฐ อย่างไรก็ดี การบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ได้ส่งผลกระทบต่อแต่ละภาคส่วนแตกต่างกันออกไปตามตาราง A
ตาราง A ผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อภาคส่วนต่าง ๆ
![](https://www.nxpo.or.th/th/wp-content/uploads/2020/06/image-2.png)
ในระยะควบคุมการแพร่ระบาดของโรค รัฐบาลไทยเน้นการให้เงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่ภาครัฐให้เงินช่วยเหลือประชาชน 5,000 บาทต่อเดือน การให้สินเชื่อพิเศษทั้งของบุคคลธรรมดา และผู้ประกอบการเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง การลดค่าธรรมเนียม ค่าสาธารณูปโภค ค่าเช่าต่าง ๆ รวมถึงการขยายเวลาการชำระภาษี รวมถึงการอนุมัติวงเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-9 จำนวน 1.9 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 60 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2563 แต่ในระยะต่อไป ซึ่งครอบคลุมถึงระยะผ่อนคลายการควบคุมและเริ่มกลับสู่การประกอบการกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ระยะการฟื้นฟูและปรับตัวภายหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย และระยะการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการปรับตัวของสังคมใหม่ รัฐบาลจำเป็นต้องออกมาตรการอื่นๆ ที่จะสนับสนุนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการช่วยเหลือภาคส่วนต่าง ๆ ในการปรับตัวเข้าสู่ความปกติใหม่ (New Normal)
ดังนั้น คณะทำงานจึงได้วิเคราะห์ข้อมูลทั้งจากตัวเลขสถิติข้อมูลสถานการณ์ปัจจุบัน การประชุมระดมความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ และเอกสารเผยแพร่ต่าง ๆ เพื่อออกแบบมาตรการด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในมิติของเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาทักษะและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ต่อการสนับสนุนการพัฒนาในแต่ละภาคส่วน พร้อมทั้งจัดทำข้อเสนอแผนงานสำคัญในการสร้างงานและรายได้รองรับคนตกงานและผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งประกอบด้วย 3 แพลตฟอร์ม ดังนี้
- แพลตฟอร์มการสร้างงานในชุมชน โดยใช้กลไกยุวชนสร้างชาติ และ Cooperative Commune Coaching platform ในการสร้างแหล่งน้ำเกษตร และการพัฒนาชุมชนนวัตกรรม เพื่อสร้าง value chain อุตสาหกรรมระดับพื้นที่ เช่น เกษตรอินทรีย์ ท่องเที่ยวชุมชน OTOP หรือ One Tambon One Product อาหาร และ creative economy ฯลฯ)
- แพลตฟอร์มการพัฒนาทักษะอาชีพที่จำเป็น โดยใช้กลไก Reskill Upskill และ New skill platform เพื่อยกระดับทักษะคนตกงานให้เข้าสู่งานใหม่หรือยกระดับงานเดิม โดยเน้นการพัฒนา care giver เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย smart farmer ผู้ประกอบการใหม่ และ SME ในพื้นที่ นักศึกษาจบใหม่หรือที่กำลังจะสำเร็จการศึกษา เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
- แพลตฟอร์มสนับสนุน SME สร้างนวัตกรรมเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยใช้กลไกการอุดหนุนธุรกิจขนาดเล็กสร้างนวัตกรรมและยกระดับเทคโนโลยี และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัย หรือสถาบันวิจัย หรือบริษัทขนาดใหญ่ โดยใช้การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับตรวจคัดกรอง ตรวจสอบ ติดตาม และเฝ้าสังเกต เป็นโจทย์การพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรม
สุดท้ายนี้ คณะทำงานขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ให้การสนับสนุนและให้ข้อคิดเห็นต่อการจัดทำเอกสารฉบับนี้มา ณ ที่นี้ด้วย